E-A-T Factor

AMPROSEO เชื่อว่าหลายคนที่ทำ SEO คงเคยได้ยินเรื่องของ E-A-T Factor กันมาก่อนแล้ว หรือบางคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไรเพราะวันนี้ น้องฮิปโป ได้นำเอารายละเอียดของ E-A-T Factor มาบอกกัน

นอกจากนั้นยังได้เอาการอัปเดตใหม่ที่ Google ได้เพิ่มตัว E เข้ามาอีกหนึ่งกลายเป็น E-E-A-T Factor ว่าจะเป็นอย่างไรบ้างและมีความสำคัญอย่างไรกับการทำ SEO มาดูกันเลยนะค่ะ

E-A-T Factor คืออะไร

EAT

ถ้าจะให้ น้องฮิปโป อธิบายเกี่ยวกับ E-A-T Factor อย่างง่ายๆ ก็ต้องบอกว่า E-A-T Factor คือ ปัจจัยในการบ่งชี้ถึงคุณภาพบนเพจที่จะนำมาใส่ในหน้าการค้นหา ดังนั้นแล้วหากต้องการทำ SEO ให้เพจหรือเว็บไซต์ติดหน้าแรกของคำค้นหาก็เลี่ยงไม่ได้ที่ข้อมูลหรือเนื้อหาจะต้องมีปัจจัยเหล่านี้อย่างครบถ้วน

ซึ่ง E-A-T Factor นับว่าได้นำเอาปัจจัยที่ควรค่าแก่การชี้วัดข้อมูลเนื้อหา โดยเฉพาะกับเนื้อหาที่มีความสำคัญและส่งผลต่อชีวิตมากๆ ลองคิดดูสิ ถ้าหากข้อมูลที่คุณค้นหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของชีวิตอย่างเรื่องสุขภาพ หรือการดูแลตัวเอง แต่ข้อมูลที่สามารถค้นหาได้กลับไม่สามารถใช้ได้จริง แต่ที่ติดหน้าค้นหาเป็นเพราะมีการทำสแปม น้องฮิปโป บอกได้เลยว่ามันจะกลายเป็นเรื่องอันตรายมากๆ เลยจริงๆ นะคะ

การทำ E-A-T Factor สำคัญยังไงกับ SEO

อย่างที่ ฮิปโปได้บอกถึงไปแล้วว่า  E-A-T Factor จะเกี่ยวกับการขึ้นหน้าแรก หรือการอยู่ในคำค้นหาของ Google หากเว็บไซต์ไหนไม่สามารถตอบโจทย์หรือทำตามเกณฑ์ E-A-T ได้ก็เท่ากับว่าไม่อาจตอบความต้องการของคนที่ต้องการข้อมูลได้จริง ดังนั้น การใช้ E-A-T Factor จึงเป็นเครื่องมือของ Google ที่จะเข้ามาวัดผลจะสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ 

น้องฮิปโป ขอบอกเลยว่า การทำเนื้อหาเว็บไซต์ให้ตรงกับ E-A-T Factor จะทำให้การติดหน้าแรกของผลการค้นหาบน Google เพราะว่า ตัว Google เองก็ต้องการให้มีเนื้อหาหรือข้อมูลเชิงลึกปรากฏขึ้นในหน้าค้นหา โดยข้อมูลเหล่านั้นจะต้องช่วยเหลือ User, สร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ, โพสต์บนเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้, มีความน่าเชื่อถือและได้รับการปรับปรุงเป็นประจำ ส่งผลให้ User เกิดรู้สึกดีๆ หรือมีประสบการณ์ที่ดีในการใช้ Google ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการจัดอันดับในหน้าแรกของ Google ได้ในทางอ้อมด้วย

องค์ประกอบของ E-A-T Factor

ทีนี้ น้องฮิปโป จะพามาดูองค์ประกอบของ E-A-T Factor ว่าการทำ SEO ให้ตรงใจกับ E-A-T Factor จะประกอบด้วยอะไรกันบ้างนะคะ

  • Expertise หรือความเชี่ยวชาญ

ข้อมูลหรือเนื้อหาในเว็บไซต์จะต้องจัดทำขึ้นโดยบุคคลหรือองค์กรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ การศึกษาหรือคุณสมบัติอื่นๆ ที่บ่งบอกได้ว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญเนื้อหาด้านนั้นๆ เช่นเว็บไซต์เกี่ยวกับอาหาร มีการลงวิธีทำอาหารโดยผู้มีประสบการณ์ (ซึ่งอาจไม่ใช่เชฟหรือเป็นเชฟก็ได้นะ) อัลกอริทึ่มจะทำการประมวลและวัดผลส่วนนี้ออกมาเป็นคะแนนให้

  • Authoritativeness หรือการมีอำนาจอิทธิพล

ฟังดูแล้วไม่ใช่มาเฟียหรอกนะ แต่เป็นการบอกความเชี่ยวชาญของเว็บไซต์ผ่านเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอจนเป็นที่กล่าวถึงว่า หากจะดูเรื่องนี้ ต้องมาที่เว็บไซต์นี้ เป็นต้น เรียกว่าเป็นการลงเนื้อหาหรือบทความอย่างต่อเนื่องจนมีอิทธิพลต่อตลาดด้านนั้นๆ นั่นเอง 

  • Trustworthiness หรือความน่าเชื่อถือ

แน่นอนว่ามีความเชี่ยวชาญ มีอิทธิพลของการเป็นผู้รู้แล้ว ก็ยังต้องมีความน่าเชื่อถือด้วย โดยข้อมูลที่ลงและผู้สร้างเว็บไซต์เองจะต้องสามารถตรวจสอบได้ มีความถูกต้องและข้อมูลที่ลงก็ต้องเป็นจริง ที่สำคัญข้อมูลจะต้องมีการอัปเดตความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอด้วย 

โดยเฉพาะกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตอย่าง การเงิน สุขภาพ กฎหมาย E-Commerce และความปลอดภัย ที่จะมีระบบอัลกอริทึ่มชื่อว่า YMYL ย่อมาจาก Your Money Your Life ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างมากหากข้อมูลเหล่านี้ถูกเผยแพร่โดยที่ไม่เป็นความจริงและสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตของ User

E-E-A-T Factor คืออะไร

EEAT

หลังจากที่มีการใช้งาน E-A-T Factor เข้ามาร่วมจัดอันดับด้วย Google ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอต่อการวัดผลจึงเพิ่มเอา E จาก Experience เข้ามาเพิ่ม กลายเป็น E-E-A-T Factor แทน เพื่อรับมือกับการแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างผู้หาข้อมูลสินค้ากับผู้เคยใช้งานหรือมีประสบการณ์กับสินค้าหรือเรื่องๆ หนึ่ง เพราะในปัจจุบันเรามีการใช้ AI เข้ามาประมวลผลด้านต่างๆ มากขึ้นแล้ว ดังนั้น สิ่งที่ทำให้ข้อมูลเนื้อหาที่เขียนโดยมนุษย์กับ AI มีความต่างกันได้ก็คือเรื่องของประสบการณ์นี่แหละ เพราะ AI จะมีประสบการณ์การใช้เหมือนมนุษย์ได้ยังไง จริงมั้ย !!

เมื่อเอาปัจจัยทั้งสี่ของ E-E-A-T Factor มารวมกันแล้ว จะได้เป็น Experience (ประสบการณ์) Expertise (ความเชี่ยวชาญ) Authoritativeness (การมีอำนาจอิทธิพล) และ Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะช่วงให้อัลกอริทึ่มให้คะแนนการมีคุณภาพของเว็บไซต์เพื่อนำไปจัดอันดับในการค้นหา

วิธีปรับปรุงเว็บไซต์ให้ผ่านเกณฑ์ E-E-A-T Factor

มี E-E-A-T Factor ขึ้นมา น้องฮิปโป ก็รู้ว่าสาย SEO ต้องไม่พลาดแน่นอน จึงได้เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการปรับปรุงให้เว็บไซต์ผ่านเกณฑ์ E-E-A-T Factor เพื่อให้สร้างเนื้อหาและพัฒนาเว็บไซต์จนสามารถทะยานขึ้นสู่อันดับที่ดีได้มากขึ้น มาดูกันว่าจะมีวิธีใดบ้าง น้องฮิปโป ขอบอกเลยว่าไม่ยากเลย

เริ่มจากการสร้างหน้า About Us

จากที่ได้อ่านมาทั้งหมดจะเห็นว่าสิ่งที่ Google ต้องการมากที่สุดคือความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นของคนหรือข้อมูลต่างก็ต้องการแหล่งที่มาที่ยอมรับได้ ดังนั้น จึงต้องมีหน้า About Us หรือหน้า “เกี่ยวกับ” ขึ้นมาเพื่อบอกว่าใครคือคนสร้างเว็บไซต์นี้ 

โดยควรบอกให้ชัดเจนเลยว่ามีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ แหล่งอ้างอิงหรือคุณสมบัติอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์นี้ และหากมีสื่ออื่นๆ อย่างรูปภาพ คลิปเสียงหรือวิดีโอก็ใส่เข้ามาด้วยเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บได้ ที่สำคัญอย่าลืมทำให้หน้านี้มองเห็นได้ชัดด้วยการใส่ไว้ที่แถบเมนูหรือแผนผังเว็บไซต์ด้วย

ร่วมงานกับผู้เชี่ยวชาญ

สำหรับเว็บไซต์ที่เน้นการสื่อสารหรือรวบรวมข้อมูลต่างๆ เข้ามาใส่ไว้ซึ่งไม่ได้จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญ น้องฮิปโป แนะนำว่าควรมีงานเนื้อหาที่ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ โดยสามารถสร้างหน้าเพจหรือเนื้อหาที่ดึงดูดให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์เข้ามาแบ่งปันความรู้และข้อมูลด้านต่างๆ แบบนี้ก็ช่วยให้ Google มองแล้วเพิ่มคะแนนการประเมิน E-E-A-T Factor ขึ้นมาได้ สิ่งสำคัญคืออย่าลืมระบุตัวตนของผู้เชี่ยวชาญให้ชัดเจนด้วย

เปิดรับความคิดเห็นจาก User

Google ชื่นชอบการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้หรือ User เป็นอย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะการรีวิวหรือการแสดงความคิดเห็นซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในการใช้งาน ยืนยันประสบการณ์ของการใช้งานจริงตามเนื้อหา โดยทางเว็บไซต์จะต้องมีการกลั่นกรองข้อมูลความคิดเห็นหรือรีวิวให้เหมาะสม ควบคุมให้เป็นไปตามกฎและอัปเดตอย่าให้ล้าสมัยด้วย ดังนั้น เว็บไซต์ที่มีการใช้งานการแสดงความคิดเห็นจากแพลตฟอร์มอื่นควรศึกษาเครื่องมือให้ดีก่อนด้วย

อัปเดตเนื้อหาในเว็บไซต์อยู่เสมอ

ต้องบอกเลยว่าโลกเรามีการเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ดังนั้น ข้อมูลเนื้อหาที่ลงไว้ในเว็บไซต์ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย Google จึงใช้ E-E-A-T Factor มากำหนดวัดเป็นคะแนนว่ามีการอัปเดต ปรับเปลี่ยนข้อมูลให้ทันสมัยและเป็นปัจจุบันอยู่ด้วยหรือไม่ หากไม่ แน่นอนว่าต้องส่งผลต่ออันดับบนหน้าแรก

ใส่ลิงก์ไปหาเว็บไซต์ที่ได้รับความเชื่อถือ

การใส่ลิงก์ของเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือจะช่วยทำให้อัลกอริทึ่มมองเห็นเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ขณะเดียวกันหากเราเป็นเจ้าใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือและมีคนเอาเว็บของเราไปอ้างอิง Google ก็จะเพิ่มคะแนน  E-E-A-T Factor ให้เรามากขึ้นด้วย และเหตุนี้เองเราจึงควรตรวจสอบเว็บไซต์หรือการใส่ลิงก์อ้างอิงนั้นๆ ให้ดีด้วย แล้วแบบไหนจะเรียกว่าน่าเชื่อถือสำหรับ Google บ้างล่ะ

  • มี Domain Rating ที่ดี
  • คุณภาพของลิงก์
  • ความนิยมของตลาดเว็บไซต์
  • ความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้
  • จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์

สร้างเนื้อหาที่ครอบคลุมรอบด้าน

น้องฮิปโป คิดว่าจริงๆ แล้ว Google นั้นชื่นชอบความครบครันอยู่พอสมควร เพราะหากเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่ครอบคลุมในหัวข้อนั้นๆ มากเท่าไหร่อันดับก็จะยิ่งดีมากขึ้น ยิ่งเมื่อทำเนื้อหาครอบคลุมพร้อมกับมีการใส่ลิงก์เชื่อมโยงซึ่งทำให้ user อยู่ในหน้าเว็บของเราได้นานมากขึ้นด้วยแล้วก็ยิ่งจะช่วยเพิ่มคะแนน  E-E-A-T Factor ให้มากขึ้นตามไปด้วย เพราะการใส่ข้อมูลเนื้อหาให้หัวข้อเดียวกันอย่างรอบด้านทำให้เว็บไซต์ดูมีความเชี่ยวชาญ น่าเชื่อถือมากขึ้นนั่นเอง

สรุป E-E-A-T Factor

การปรับให้เว็บไซต์ตรงตามข้อกำหนดของ E-A-T Factor หรือ E-E-A-T Factor นั้นเป็นเรื่องที่คนทำ SEO จะมองข้ามไม่ได้เลย เพราะมันส่งผลต่อการจัดอันดับในหน้าแรก หากต้องการมีอันดับที่ดีหรือเป็นอันดับหนึ่งอย่างยาวนานก็จะต้องปรับให้เว็บไซต์มีทั้งประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ อิทธิพลอำนาจและความน่าเชื่อถืออย่างครบถ้วน แม้ว่าการสร้างตามข้อกำหนดเหล่านั้นจะใช้เวลายาวนาน แต่ น้องฮิปโป ขอบอกเลยว่าคุ้มแน่นอนค่ะ

เขียนโดย: น้อง Hippo
น้อง Hippo
บล็อกนี้ เป็นแหล่งรวมความรู้ SEO และการตลาดออนไลน์ที่ครบครันที่สุด อ่านแล้วนำไปใช้ได้จริง พัฒนาทักษะของคุณให้เติบโต