สอน SEO
SEO คือ เครื่องมือทำการตลาดที่สำคัญ หลายคนเลยพยายามที่จะพิชิตยอดพีระมิดของ Keyword ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เพื่อก้าวสู่อันดับ 1 ของหน้า Search Engine อย่าง Google แต่เทคนิคและขั้นตอนการทำไม่ใช่ว่าอยากจะได้ก็เสกขึ้นมาได้เลยนะ ต้องใช้องค์ความรู้และความพยายามอย่างสม่ำเสมอในการทำเว็บไซต์ให้มีคุณภาพที่ต้องถูกใจทั้ง User ที่เข้ามาอ่านและถูกใจ Google Bot เข้าด้วย
แล้วจะทำยังไงล่ะ?
ไม่ต้องกังวลใจไปนะ วันนี้ AMPROSEO พกคู่มือเล่มโปรดที่จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจและลงมือทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบบไม่ต้องงมเข็มในมหาสมุทรให้เสียเวลาเลย เพราะเข็มนั่น AMPROSEO งมมาให้เองแล้ว! พร้อมกับจัดมาเป็นคู่มือสอน SEO ตามแบบฉบับ AMPROSEO ที่เข้าใจง่าย ซึ่งจะทำยังไง ต้องรู้อะไรบ้าง ตามไปดูเนื้อหาพร้อมๆ กันเลยนะฮิปปป
สอน SEO ฟรีสำหรับคนไม่มีพื้นฐาน ต้องรู้อะไรบ้าง!
สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานด้าน SEO แบบว่าเริ่มตั้งแต่ 0 ก่อนจะไปเริ่มดูว่า SEO ทำยังไง แนะนำให้ปูพื้นฐานกันแบบแน่นๆ ด้วยการทำความเข้าใจ SEO ในส่วนที่ต้องรู้ก่อน ดังนี้
เก็บให้ครบ คำศัพท์ที่ต้องรู้เกี่ยวกับ SEO
สำหรับใครที่เป็นมือใหม่มากๆ ต้องขอเตือนก่อนว่า SEO มีศัพท์ที่ค่อนข้างเฉพาะค่อนข้างเยอะ ซึ่งคุณอาจจะต้องทำความเข้าใจก่อนจะลงลึกไปอ่านในหัวข้อถัดๆ ไป AMPROSEO เลยอยากให้คุณปูพื้นฐานด้านคำศัพท์ให้เข้าใจกันก่อนว่า มีอะไรและคืออะไรบ้าง ลองเข้าไปอ่านบทความรวมคำศัพท์ได้เลยที่ 67 คำศัพท์เกี่ยวกับ SEO ที่ควรรู้ก่อนเริ่มทำจริง
องค์ประกอบของการทำ SEO มีอะไรบ้าง
ถ้าจะให้แบ่งองค์ประกอบของ SEO ละก็…จะขอแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
- On-Page SEO คือ การปรับแต่งเนื้อหาต่างๆ บนเว็บไซต์ที่มองเห็นได้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของหน้าเว็บไซต์ เช่น Title, Description, Heading tag, URL, Internal Link ฯลฯ ถามว่า ปรับแต่งยังไง ก็ต้องปรับให้ถูกใจ Google และยังดีต่อการอ่านของ User ที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ด้วย และการปรับ On-Page SEO ที่ว่านี้ก็มีส่วนที่จะช่วยทำให้อันดับของหน้าเว็บไซต์ดีขึ้น และมีโอกาสติดอันดับ 1 ใน Keyword ที่ต้องการมากขึ้นด้วย
- Off-Page SEO คือ การทำ SEO ผ่านปัจจัยภายนอกด้วยการทำ Backlink คือ การอ้างอิงจากเว็บไซต์อื่นๆ กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ ถ้ายิ่งได้รับ Backlink ที่ดีกลับมาเยอะในรูปแบบธรรมชาติ ย้ำ! ว่าในรูปแบบธรรมชาติ ไม่ดูเป็นสแปมลิงก์ ก็จะช่วยทำให้ค่า DA หรือ Domain Authority ของเว็บไซต์สูงขึ้น ส่งผลให้อันดับของเว็บไซต์ดีขึ้นได้ด้วย
- Technical SEO คือ การจัดเต็มในเรื่องการปรับปรุงเว็บไซต์ในด้านต่างๆ ซึ่งเป็นเชิงเทคนิค ทำให้ภาพรวมของเว็บไซต์ดีขึ้น ทั้งในด้านการเข้ามาจัดทำดัชนีบนเว็บไซต์ ความเร็วของเว็บไซต์ หรือโครงสร้างของเว็บไซต์ ฯลฯ
Google’s algorithms
Google’s Algorithm คือ หลักการที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเนื้อหาของเว็บไซต์ ซึ่งจะมีการอัปเดตอยู่เรื่อยๆ เพราะนี่คือสิ่งที่ช่วยทำให้ Google คัดเนื้อหาของเว็บไซต์ที่ขึ้นมาจัดอันดับได้ดีขึ้น ตรงกับสิ่งที่คนค้นหามากขึ้น และยังเลือกเอาแต่เว็บไซต์ที่มีคุณภาพมาขึ้นโดยเฉพาะ แน่นอนว่า มีความสำคัญขนาดนี้เราก็ต้องคอยติดตามการอัปเดตอยู่ตลอด เพราะการเปลี่ยน Algorithm มักจะส่งผลกระทบต่ออันดับของเว็บไซต์ ทำให้รูปแบบการทำ SEO ก็ต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่ง Core Web Vitals คือ อัลกอริทึ่มหนึ่งที่ Google ใช้ในการวัดผลประสบการณ์ใช้งาน หรือ User Experience (UX) บนเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งถ้าเว็บไซต์ทำได้ดีตรงตามเกณฑ์ก็จะถูกจัดอันดับดีตามไปด้วย แต่ตัวเกณฑ์ Core Web Vitals จะถูกนับเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Page Experience โดยจะประกอบด้วย Largest Contentful Paint (LCP), Cumulative Layout Shift (CLS) และ First Input Delay (FID) และก็ยังมี Algorithm อีกหลายตัวที่สำคัญไม่แพ้กัน เช่น Mobile Friendly, Local Search, BERT เป็นต้น
E-E-A-T Factor
E-E-A-T Factor คือ ปัจจัยที่ Google ใช้ในการพิจารณาถึงคุณภาพของเว็บไซต์แต่ละเว็บ ถ้าทำได้ตรงกับปัจจัยพวกนี้ก็จะมีโอกาสในการได้ขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของหน้า SERP ซึ่งตัวย่อ E-E-A-T นี้มีที่มาจาก…
- Experience (ประสบการณ์): ประสบการณ์ของคนที่ทำการสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่ Google จะดูว่าคนเขียนมีประสบการณ์โดยตรงหรือประสบการณ์จริงในเรื่องที่เขียนหรือไม่
- Expertise (ความเชี่ยวชาญ): ต้องทำให้ Google รู้ว่าคุณมีความเชี่ยวชาญด้วยคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และมีการปรับ On-Page SEO ให้ดีไปพร้อมๆ กันด้วย
- Authoritativeness (การมีอำนาจอิทธิพล): การได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพกลับมายังเว็บไซต์
- Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ): การทำให้เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือในสายตาของ Google เช่น การทำ Privacy Policy, การทำหน้า About Us, การทำ HTTPS เป็นต้น
ซึ่งเกณฑ์เหล่านี้คือ สิ่งที่คุณจะต้องโฟกัสและทำให้เว็บไซต์เป็นไปตามเกณฑ์ เพื่อให้มีโอกาสติดอันดับบนหน้า Google มากยิ่งขึ้น
รู้จักเครื่องมือทำ SEO
การจะทำ SEO ให้มีคุณภาพและรวดเร็วก็ต้องพึ่งพา SEO Tools ซึ่งในปัจจุบันนี้มีให้เลือกทั้งตัวฟรีและเสียเงิน ถ้าอยากรู้ว่าแต่ละเครื่องมือมีอะไร เป็นยังไงบ้าง ใช้งานได้ยังไง ลองอ่านรีวิวและวิธีใช้ของแต่ละเครื่องมือที่ List มาให้ด้านล่างได้เลยนะฮิปปป
หมวดปลั๊กอินสำหรับใช้ใน WordPress
- แนะนำ Rankmath ปลั๊กอินช่วยทำ SEO ดีจริงไหม ใช้ยังไงดูที่นี่
- Yoast SEO Plugin คืออะไร ดูวิธีการใช้งาน ประโยชน์ที่มีต่อคนทำ SEO และคนทำเว็บไซต์ด้วย WordPress
หมวดใช้ค้นหา Keyword (ใช้ฟรีได้แบบจำกัด)
- Google Keyword Planner คืออะไร แนะนำวิธีใช้หาคีย์เวิร์ดที่ใช่ พร้อมสอนสมัครแบบละเอียด
หมวดใช้ค้นหา Keyword และวิเคราะห์เว็บไซต์ (ใช้ฟรีได้แบบจำกัด)
- Ahrefs คืออะไร ใช้ฟรีได้หรือไม่ ดูวิธีใช้ ราคา และฟีเจอร์ช่วยทำ SEO
- Ubersuggest โปรแกรมหา Keyword ถูกและดี ดูวิธีการใช้และการอ่านค่าต่างๆ
- Screaming Frog คืออะไร แนะนำเครื่องมือทำ SEO ระดับมืออาชีพ
หมวดใช้งานฟรีจาก Google
- Google Search Console คืออะไร ใช้ทำอะไร ดูวิธีสมัครและวิธีใช้งานแบบละเอียด
- Google Analytics คืออะไร สมัครยังไง ใช้งานฟรีไหม เรียนรู้วิธีใช้งาน GA4 เวอร์ชันใหม่เบื้องต้น
สอน SEO ให้ติดหน้าแรก Google แบบ Step by Step
มาถึงการลงรายละเอียดขั้นตอนสอน SEO แบบเจาะลึก โดย AMPROSEO จะขอเรียงเป็น Step ให้เห็นเลยว่า ปกติเราทำอะไรก่อน-หลังบ้าง ซึ่งในแต่ละขั้นตอนสามารถตามไปอ่านบทความเพิ่มเติมได้ตามลิงก์ต่างๆ ที่ AMPROSEO แปะไว้ให้ ส่วนบทความนี้จะทำหน้าที่เป็นสารบัญสรุปให้ว่ามีอะไรที่ต้องให้ความสำคัญบ้าง
Step 1 ทำความรู้จักเว็บไซต์ของคุณเองและคู่แข่ง
อันดับแรกของการสอน SEO AMPROSEO อยากให้ทุกคนยึดคติที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจเลยก็คือรู้จักเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงของคู่แข่งให้ดีก่อนว่ามี Performance ในด้านการทำ SEO อย่างไร โดยอาจจะไล่เช็กข้อมูลต่างๆ เพื่อดูว่าอะไรที่คุณทำได้ดี หรือควรที่จะพัฒนาเพื่อให้อยู่เหนือกว่าคู่แข่ง ยกตัวอย่างข้อมูลที่คุณต้องศึกษาและนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
- Page Speed ของเว็บไซต์ ดูว่าเว็บไซต์ของคุณและคู่แข่งมีความเร็วเว็บไซต์เป็นอย่างไร และมีส่วนไหนที่จะต้องทำการแก้ไขบ้าง
- Website Structure มีอะไรที่ต้องแก้ไขบ้างหรือเปล่า
- DA หรือ Domain Authority ของเว็บไซต์เป็นอย่างไร และคู่แข่งมีเองมีคะแนนเท่าไหร่
- จำนวน Keyword ที่ทำอันดับอยู่ รวมถึงอันดับของแต่ละ Keyword ว่าเป็นอย่างไร มี Focus Keyword ไหนที่สามารถทำให้ดีขึ้นได้บ้าง และคู่แข่งเองโดดเด่นในกลุ่ม Keyword ไหนบ้าง
- เนื้อหาบนหน้า On-Page ของเว็บไซต์เป็นอย่างไร ตรงกับเกณฑ์ของ Google หรือไม่ และคู่แข่งทำอย่างไร
- มีจำนวน Backlink เป็นอย่างไร ได้มาจากเว็บไซต์ไหนบ้าง มีคุณภาพหรือไม่ เมื่อเทียบคู่แข่งแล้วมีอะไรที่ต้องปรับปรุงบ้าง
ซึ่งการวิเคราะห์เว็บไซต์ของตัวเองและคู่แข่งจะช่วยทำให้เห็นข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ซึ่งช่วยทำให้วางแผนการทำ SEO เพื่อเอาชนะคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนใครที่ยังไม่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองลองดูวิธีการสร้างเว็บไซต์เองง่ายๆ ด้วย WordPress แบบไม่ต้องเขียนโค้ดเอง แถมยังดีต่อการทำ SEO ได้เลยที่ WordPress คืออะไร WordPress ทําอะไรได้บ้าง ดูข้อดี-ข้อเสีย และวิธีใช้เบื้องต้น
Step 2 เริ่มต้นทำเว็บไซต์ให้ดีกับ SEO
เว็บไซต์นั้นเปรียบเป็นเหมือนบ้าน ถ้าโครงสร้างบ้านไม่ดีก็เสี่ยงที่บ้านจะทรุดจะพัง การทำ SEO ก็เหมือนกัน Google เองก็พิจารณาเช่นกันว่า โครงสร้างของเว็บไซต์ของคุณเนี่ยดีมากพอที่จะนำมาขึ้นอันดับหรือเปล่า ซึ่งหลักการออกเว็บไซต์ให้ดีกับ SEO นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น…
- วางแผนการทำโครงสร้างเว็บไซต์หรือ Site Structure ให้เรียบง่าย เช่น ทำ Category Page เพื่อจัดกลุ่มเพจที่มีเนื้อหาในกลุ่มเดียวกัน, ทำ Internal link เชื่อมเนื้อหาในแต่ละหน้า, ออกแบบ URL Structure ให้เรียบง่ายและเข้าใจง่าย เป็นต้น
- ออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย เช่น อกแบบ Menu Bar ที่เรียบง่าย ใช้สะดวก, เลือกฟอนต์และขนาดที่อ่านง่าย, ทำปุ่ม CTA ให้มีขนาดที่ใหญ่เพียงพอให้คลิกได้ เป็นต้น
- วางโครงสร้างหน้าเพจด้วยการจัดเรียง Heading Tag อย่างถูกต้อง
- ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็ว
- ทำเว็บไซต์ให้เป็น https:// ไม่ใช่แค่ http://
- ทำ Sitemap ให้บอทของ Google จะได้มีแผนที่ในการเข้ามา crawl เก็บข้อมูลบนเว็บไซต์ได้ง่าย
- สร้างไฟล์ Robots.txt หรือสคริปต์คำสั่งให้กับ Google Bot เพื่อบอกให้ Google Bot รู้ว่าหน้าไหนที่เข้ามาเก็บข้อมูลเพื่อเอาไปจัดอันดับได้
Step 3 ทำ Keyword Research
Keyword คือ การหา คำที่ผู้คนใช้กันบน Google แล้วนำมาทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์หน้านั้นๆ ติดอันดับ ซึ่งการติดอันดับบน Google ก็จะช่วยทำให้คนเจอเว็บไซต์ของคุณง่ายขึ้น และอาจนำพาไปสู่การเกิด Conversion ตามมาได้ด้วย แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าควรเลือก Keyword ไหนมาทำ SEO เรื่องนี้ง่ายมาก ให้จำไว้แค่ว่า Keyword ที่ดีจะต้องมี Search Volume หรือมีปริมาณการค้นหา, มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ และสามารถทำการแข่งขันได้ด้วย
ซึ่ง Keyword นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท และคุณก็ควรที่จะเรียนรู้ เพื่อให้สามารถหยิบประเภท Keyword เหล่านี้ไปใช้งานได้ง่ายมากขึ้น
ประเภทของ Keyword
- Seed keyword คือ Keyword กว้างๆ ที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น รองเท้า กระเป๋า จะเป็นคำที่มี Search Volume สูง ทำติดยาก และอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของคุณจริงๆ
- Long Tail Keywords คือ Keywords ที่เป็นคำยาวๆ ที่คนใช้ค้นหากันบน Search Engine มีความเฉพาะเจาะจงสูง เช่น เจาะจงไปที่รุ่น ชื่อสินค้า ประเภทของสิ่งที่ต้องการค้นหา เช่น รองเท้ากีฬาผู้ชาย, กระเป๋าหนัง สะพาย ผู้หญิง ฯลฯ
- LSI Keywords คือ คำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลักหรือ Focus Keyword ที่ใช้ในหน้าเว็บไซต์นั้นๆ เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหาในเว็บว่าเกี่ยวกับอะไร เช่น คุณพิมพ์หา Apple จะรู้ได้ยังไงว่า Apple ในที่นี้คือผลไม้หรือหมายถึงบริษัทที่ผลิตไอโฟน Google จะดู LSI Keywords นี่แหละประกอบการตัดสินใจในการเลือดจัดอันดับเว็บไซต์ในแต่ละ Keyword
สำหรับวิธีการหา Keyword นั้นทำได้มากมายหลายวิธี ถ้าอยากอ่านแบบละเอียด แนะนำคลิกเข้าไปศึกษาต่อได้เลยที่ Keyword Research คืออะไร ดูวิธีหาและการวิเคราะห์ Keyword ที่ช่วยให้ติดหน้าแรก
Step 4 ทำ On-Page SEO
เรามาดูกันดีกว่าว่า บนเว็บไซต์เราเองถ้าจะปรับปรุง On-Page SEO ให้ดีนี่มันต้องทำอะไร ยังไงบ้าง ดูจาก Checklist ด้านล่างนี้เลย
- ด้านเนื้อหา
- ปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้คุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน โดยเน้นเขียนเนื้อหาให้เป็น Evergreen Content
- ทำ Content Pillar ที่ครอบคลุมเนื้อหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วเชื่อมโยงหน้านั้นกับหน้าย่อยๆ ซึ่งช่วยทำให้มีโอกาสติดหน้า Google มากขึ้น
- ใส่ Keyword ในเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าเจาะจงเกินไป (Keyword Stuffing) และควรที่จะดูด้วยว่า Keyword Density มี % ที่มากเกินไปหรือไม่ ไม่อย่างนั้น Google อาจจะมองว่าสแปม Keyword ได้
- ใช้มีเดียที่หลากหลายในหน้าเว็บไซต์ เช่น ตัวหนังสือ รูป วิดีโอ ฯลฯ
- ทำเนื้อหาที่สอดคล้องกับฟีเจอร์ที่ Google มีให้ เช่น Rich Snippets, Feature Snippets, Google Sitelinks
ไม่แน่ใจว่า บทความ SEO ที่ดีจะเขียนยังไง แนะนำอ่านบทความนี้ >> บทความ SEO คืออะไร ดูวิธีเขียนบทความ SEO แบบละเอียดตามหลักการทำ On-Page
- การเขียน Title Tag Meta Description และ URL
- ใส่ Keyword ที่เลือกใน Title Tag ของหน้าเว็บไซต์ เขียนให้กระชับ ไม่ยาวจนโดนตัดตก และไม่ใช้ Title Tag ซ้ำกันหลายหน้า
- เขียน Meta Description ที่อธิบายเนื้อหาหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้าให้ชัดเจน ไม่ซ้ำกัน ในความยาวที่เหมาะสม รวมถึงไม่ลืมใช้ Keyword ที่เลือกลงไปด้วย
- ทำ URL Friendly ที่สื่อความหมายและเข้าใจง่ายขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน รวมถึงมีการใส่ Keyword ที่เลือกลงไปด้วย
- ใช้ Heading Tag
- ใช้ h1, h2, h3 เป็นอย่างน้อยในเนื้อหาเพื่อสร้างโครงสร้างของหน้าที่เข้าใจง่าย
- ไม่ใช้ Heading Tag ข้ามไปข้ามมา
- แทรก Keyword ที่เลือกลงไปด้วย
- การใช้รูปภาพ
- ใช้รูปภาพที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและใส่แท็ก Alt Text ที่ช่วยทำให้ติด Image Search เพิ่มเติม
- ทำ Internal Link และ External Link
- เชื่อมโยงหน้าเว็บภายในเว็บไซต์ด้วย Internal Link
- ทำการอ้างอิงเนื้อหาด้วย External Link แต่ต้องลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องด้วย
- ทำ Schema Markup
- ใส่ข้อมูลติดต่อ เช่น ที่อยู่, เบอร์โทร, แผนที่ลิงก์ โดยใช้ Schema Markup
Step 5 ทำ Off-Page SEO
ส่วนใครที่กำลังจะทำ Off-Page SEO แล้วแต่ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นยังไงดี ก่อนอื่นอยากให้ทำความเข้าใจก่อนว่า Off-Page SEO จะเป็นการทำอะไรก็ตามที่อยู่นอกเว็บไซต์ เพื่อให้ได้ Backlink กลับมา ซึ่งลิงก์ที่ว่านั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
- Nofollow Link คือ ชุดคำสั่งใน HTML Link ใส่เพื่อให้ Bot ของ Search Engine ไม่ต้องตามเข้าไปเว็บข้อมูลจากเว็บไซต์ปลายทาง ทำให้เว็บที่ได้ Backlink ไม่ได้คะแนน
- Dofollow links คือ ชุดคำสั่งใน HTML Link ใส่เพื่อให้ Bot ของ Search Engine ให้ตามเข้าไปเว็บข้อมูลจากเว็บไซต์ปลายทาง ทำให้เว็บที่ได้ Backlink ได้คะแนนจาก Backlink นั้น แน่นอนว่า ทำให้เพิ่มโอกาสการติดบนหน้า Google ได้ด้วย
ซึ่งการที่จะได้ลิงก์พวกนี้มาจะมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ลองดูวิธีการทำ Off-Page SEO ตาม AMPROSEO ได้เลย ดังนี้
- การทำ Backlink
Backlink คือ ลิงก์จากเว็บอื่นๆ ที่ชี้กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา ทำให้ Google เห็นว่าเว็บของเราน่าเชื่อถือ ซึ่งควรจะได้มาจากเว็บที่เกี่ยวข้องกับเรา หรือเป็นเว็บไซต์ที่มีค่าคะแนนสูง ๆ รวมถึงเว็บที่ชี้มาจะต้องมีอันดับบน Google ด้วย
- การทำ PBN
PBN คือ Private Blog Network หรือเว็บไซต์ที่เป็นบล็อกส่วนตัวขึ้นมา แล้วนำมาทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์ โดยจะต้องเน้นทำเนื้อหาให้มีคุณภาพ จนทำให้มี Traffic เข้ามายังเว็บไซต์ มีการทำบทความในเว็บให้ติดอันดับบน Google มีคนใช้งานได้จริง และควรที่จะมี Backlink อ้างอิงมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ถึง PBN ที่ทำเอาไว้ด้วย
- การ Guest Post
Guest Post คือ การไปขอลงบทความ หรือซื้อบทความ ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา เพื่อทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์ของเรานั่นเอง ซึ่งควรจะเลือกเว็บที่มี UR – DR สูง และเป็นเว็บที่มี Traffic เข้ามายังเว็บไซต์จริงด้วย
Step 6 ทำ Technical SEO
ในด้านเทคนิคอื่นๆ สำหรับปรับปรุงการทำเว็บไซต์หรือการทำ SEO นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง ซึ่งจะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ลองดูนะว่า เทคนิคไหนที่ช่วยแก้ปัญหาด้านเว็บไซต์หรือการทำ SEO ของคุณในตอนนี้ได้บ้าง
- การทำ Disavow links
Disavow links เป็นวิธีการปฏิเสธลิงก์ที่ส่งมายังเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเอา Backlink ที่ไม่ดีออก หรือว่าโดนเว็บไซต์ของเราถูก Spam Link จากผู้ที่ไม่หวังดีก็จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการทำ Disavow links ออก ซึ่งวิธีการทำ สามารถอ่านต่อได้เลยที่ วิธีการทำ Disavow links แบบง่ายขนาดหมูยังเข้าใจ
- การทำ Redirect 301
Redirect 301 จะเป็นการเปลี่ยนเส้นทางของ URL บนเว็บจาก URL บนเว็บไซต์หนึ่งไปยัง URL บนอีกเว็บไซต์แบบถาวร (Permanent Redirection) เป็นวิธีการบอก Google ว่าเราได้ทำการเปลี่ยนชื่อเว็บไซต์ หรือเปลี่ยน Slug URL ไปอันใหม่ ถ้าจะจัดเก็บดัชนี (Index) ก็ต้องไปเก็บที่หน้าใหม่แทนหน้าเก่าแทน ดูวิธีทำที่ Redirect 301 คืออะไร ทำไมต้องทำ ดูวิธีป้องกันอันดับตกด้วยการ Redirect
- การแก้ 404 Not Found
404 Not Found เป็นหน้า Error ที่เกิดขึ้นโดยมีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับ URL ทำให้ Google หาเว็บตามลิงก์นั้นไม่เจอ วิธีแก้มีหลายแบบทั้งแก้ไขแบบ Redirect และการปรับแต่งหน้า 404 Not Found ลองดูวิธีแบบเต็มๆ เป็นไอเดียได้เลยที่ 404 Not Found คืออะไร เปลี่ยนหน้า Error ยังไง ดูวิธีเช็กและแก้แบบละเอียด
- การทำ Canonical Tag
Canonical Tag จะเป็นการบอก Google ว่าหากต้องการเก็บ URL ที่นำไปจัดทำดัชนีควรจะเข้าไปเก็บใน URL ไหน ช่วยแก้ปัญหาเนื้อหาคล้ายกัน ตัว URL มีชื่อใกล้เคียงกันแล้ว Google ทำการจัดอันดับผิดหน้านั่นเอง ลองดูการทำได้เลยที่ Canonical Tag คืออะไร เกี่ยวกับ SEO ยังไง เรียนรู้วิธีการทำและข้อควรระวัง
ผลลัพธ์ที่ต้องรู้สำหรับสาย SEO
หลายคนอาจจะรู้แล้วว่า การทำ SEO จะต้องวัดผลลัพธ์พวก Position ของ Keyword หรือเช็กพวก Organic Traffic ที่เข้ามายังเว็บไซต์ว่าโตขึ้นหรือไม่ แต่ยังมีเมตริกอีกหลายตัวเลยที่ต้องดูประกอบเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถปรับปรุงเว็บไซต์และการทำ SEO ให้ดีขึ้น
มาเรียนรู้ว่า สิ่งที่เป็นตัวตัดสินว่าเว็บไซต์ไหนจะทำอันดับได้ดีกว่าจะมีอะไรบ้าง และนี่จะเป็น Metrics ที่คุณสามารถใช้ในการวัดผลลัพธ์การทำ SEO และคอนเทนต์บนเว็บไซต์ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น…
Dwell Time
Dwell Time คือ สิ่งที่ใช้เวลาที่ผู้ใช้งานอยู่บนหน้าเว็บไซต์หลังจากที่ทำการคลิกหน้าเว็บไซต์ใดเข้ามา ทำการอ่านเนื้อหาที่อยู่ในเว็บไซต์ ไปจนถึงเวลาสิ้นสุดจากการกดออกไปยังหน้าผลการค้นหา ซึ่งเป็นเมตริกที่ใช้วัดผลว่าเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์นั้นมีความน่าสนใจและมีคุณค่าสำหรับผู้ใช้งานหรือไม่ และเนื้อหาภายในเว็บไซต์มีความเชื่อมโยงถึงกันมากพอหรือเปล่า
Bounce Rate
Bounce Rate คือ การวัดผลผู้เข้าชมที่เข้ามาในเว็บไซต์เพียงหน้าเดียวแล้วออก และไม่ได้ทำการคลิกไปยังหน้าอื่นเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อย เป็นค่าที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ โดยดูว่า ค่า Bounce Rate มีมากหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นมากแสดงว่าหน้าเว็บไซต์นั้นๆ อาจจะกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่างอยู่ จึงเป็นเหมือนค่าที่ใช้ตรวจสุขภาพของเว็บไซต์ได้อีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง
Organic CTR
Organic CTR คือ เป็นการวัดอัตราการคลิกต่อจำนวนการมองเห็น เพื่อดูว่า เนื้อหาบนเว็บไซต์มีความน่าสนใจและเหมาะสมกับคำค้นหาของผู้ใช้หรือไม่ ถ้าผลลัพธ์ออกมาว่า CTR ต่ำแสดงว่าคนเห็นเยอะแต่คลิกน้อย นั่นอาจจะต้องกลับมาทำการบ้านเรื่องของการเขียน Title และ Description ให้ตรงกับ Search Intent มากขึ้นด้วย
คำถามที่พบบ่อย
SEO กับ SEM ต่างกันยังไง
อย่างที่รู้แล้วว่า SEO คือ การทำการตลาดบน Search Engine แบบยั่งยืนที่เน้นการปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและสามารถทำอันดับได้โดยไม่เสียเงินในการโฆษณา แต่จะใช้เทคนิคอื่นที่ช่วยให้เว็บไซต์ทำอันดับบน Search Engine และตอบสนองความต้องการของคนที่ทำการค้นหาใน Keyword ที่ต้องการด้วย
ส่วน SEM คือ Search Engine Marketing หมายถึง การทำการตลาดบน Search Engine และใช้เรียกรวมทั้งการทำ SEO ที่เน้นการทำอันดับแบบธรรมชาติโดยไม่เสียเงินโฆษณา และการทำ Paid Search ที่เป็นการจ่ายเงินโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์ขึ้นอันดับบนหน้า Google เรียกได้ว่าเป็น Buzzword ที่เป็นการวางแผนทั้งระยะยาวและระยะสั้น ส่วน SEO จะเน้นการวางแผนในระยะยาวอย่างเดียวเป็นหลัก เนื่องจากการทำ SEO จะใช้เวลาในการทำอันดับที่นานนั่นเอง
SEO สายขาว VS SEO สายเทา
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า SEO สายขาว และ SEO สายเทา แต่อาจจะไม่รู้ว่า การทำ SEO ทั้ง 2 แบบต่างกันอย่างไร ลองดูสรุปจากตาราง ดังนี้
SEO สายขาว | SEO สายเทา |
---|---|
เน้นการทำเว็บไซต์และเนื้อหาที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์ Search Intent ของคน | เน้นเทคนิคที่ช่วยทำให้ติดอันดับได้ง่าย โดยไม่ได้สนใจเรื่องคุณภาพ ทำให้เสี่ยงต่อการโดนแบนโดย Google |
ทำตามกฎของ Google | ไม่ได้ทำตามกติกาของ Google |
เห็นผลดีได้ในระยะยาวและยั่งยืน | เห็นผลดีในระยะสั้น แต่ไม่ยั่งยืน |
วิธีทํา SEO ด้วยตัวเอง VS จ้างบริษัทรับทำ SEO
ในเมื่อการทำ SEO มีขั้นตอนที่ต้องเรียนรู้เยอะขนาดนี้ การเริ่มต้นทำด้วยตัวเองจะดีจริงไหม หรือควรที่จะจ้างบริษัทรับทำ SEO จึงจะดีกว่า?
เรื่องนี้อาจจะต้องคำนวณจากความคุ้มค่าในมุมมองของคุณ โดยอาจจะตัดสินใจจากข้อดีของการทำ SEO ด้วยตัวเอง หรือจ้างบริษัทรับทำ SEO ที่ AMPROSEO จะบอกดังต่อไปนี้
ข้อดีของการทำ SEO ด้วยตัวเอง
- ประหยัดค่าใช้จ่าย
- ได้พัฒนาทักษะในการทำ SEO
- มีความเข้าใจในด้านสินค้าสูง จึงสามารถทำเนื้อหาที่ดีได้
ข้อดีของการจ้างบริษัทรับทำ SEO
- ประหยัดเวลาในการทำงาน เพราะไม่จำเป็นต้องลองผิดลองถูกเอง
- ได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของเอเจนซี่ เพราะสามารถปรึกษาได้ตลอด
- มีการการันตีผลลัพธ์
- สร้างความสม่ำเสมอในการทำงาน
สรุป สอนทํา SEO ฟรี
และนี่คือเทคนิคสอน SEO ฟรีที่ AMPROSEO รวบรวมองค์ความรู้มาให้แบบละเอียดยิบ เรียกได้ว่าถ้าอ่านจริงๆ จังๆ รับรองว่าสามารถทำตามได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับใครที่รู้สึกว่าการลงมือเรียนรู้หรือทำเองอาจจะไม่ได้คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป สามารถปรึกษาทีม AMPROSEO ที่เชี่ยวชาญด้านการ SEO ได้เลยนะ AMPROSEO ให้คำแนะนำเบื้องต้นฟรีแบบไม่มีค่าใช้จ่ายเลยล่ะฮิปปป