On Page
ใครที่เป็นมือใหม่ในการทำ SEO ลองทายกันหน่อยซิว่า บทความนี้ AMPROSEO จะพูดถึงเรื่องอะไร? ถ้าเดาไม่ออกว่า On-Page ที่จั่วเป็นหัวข้ออยู่นี้คืออะไร แต่โดนตกเข้ามาเพราะคิดว่ามันน่าจะสำคัญสำหรับการทำ SEO ซึ่งคุณคิด…ถูกแล้วล่ะ!!! เรื่องนี้สำคัญกับการทำ Search Engine Optimization แบบสุดๆ มาดูกันว่าสำคัญยังไง และจะทำ On-Page ให้ดีได้ยังไงบ้าง ตาม น้องฮิปโป ไปดูพร้อมกันได้เลยนะคะ
On Page คืออะไร
ถ้าอธิบายให้เข้าใจแบบง่ายๆ On Page คือ การปรับแต่งเนื้อหาต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์ที่มองเห็นได้ให้ถูกหลักการทำ SEO ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทำให้ติดอันดับบน Search Engine อย่าง Google ได้ดีขึ้น
โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา (บางคนอาจจะเรียก On Page SEO ว่า On-site SEO) ตัวอย่างการปรับ On Page ก็อย่างเช่น การปรับ Title, Description, Internal Link, Heading ฯลฯ ซึ่งถ้าคุณไม่รู้ว่าปรับอะไรยังไงบ้าง เดี๋ยว น้องฮิปโป จะบอกวิธีการให้ในหัวข้อถัดๆ ไป เลื่อนลงไปดูได้เลย
On Page SEO ต่างจาก Off Page SEO ต่างกันอย่างไร
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า On Page SEO พร้อมๆ กับคำว่า Off Page SEO แล้วทั้ง 2 คำนี้ต่างกันยังไงบ้าง?
อย่างที่ น้องฮิปโป บอกไปแล้วว่า On Page SEO คือ การปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ที่เรามองเห็นให้ถูกหลักการทำ SEO แน่นอนว่า Off Page SEO ต้องเป็นด้านตรงกันข้าม
โดย Off Page SEO คือ วิธีการทำ SEO โดยพึ่งพาปัจจัยต่างๆ จากภายนอกเว็บไซต์ เช่น การทำ Backlink, การทำ Link Building ฯลฯ ที่ช่วยทำให้คอนเทนต์บนเว็บไซต์ถูกมองเห็นมากขึ้น ช่วยเสริมพลังให้กับเว็บไซต์ให้ดูน่าเชื่อถือในสายตา Google แต่วิธีการจะซับซ้อนกว่าการทำ On Page SEO แถมถ้าทำผิดยังเสี่ยงโดนแบนจาก Google อีกด้วยนะจะบอกให้
หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติม : Backlink คืออะไร เลือกอย่างไรถึงเรียกว่าคุณภาพ บทความนี้มีคำตอบ !
ทำไมต้องปรับปรุง On Page SEO
แล้วทำไมต้องปรับปรุงการทำ On Page SEO ด้วยล่ะ? ไม่ทำได้ไหม? แล้วการทำ On Page SEO สำคัญในแง่ไหนบ้าง? เดี๋ยว น้องฮิปโป จะชี้แจงให้ฟัง เพื่อนๆ ลองพิจารณาดูเพิ่มเติมนะว่าจำเป็นจะต้องปรับปรุงจริงหรือเปล่า
On Page SEO ช่วยให้ Search Engine เข้าใจเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจหลักการทำงานของ Search Engine อย่าง Google สักหน่อยว่า เขาทำงานอย่างไร โดยเริ่มจาก…
- Crawling: เป็นขั้นตอนที่บอทของ Search Engine จะทำการ Crawling เพื่อเก็บข้อมูลเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ ถ้าเนื้อหาทำออกมาซับซ้อน ยุ่งยาก หาไม่เจอข้อมูลก็อาจจะตกหล่นและหน้าเหล่านั้นก็อาจจะไม่ติดอันดับได้
- Indexing: จะเป็นขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วจัดเข้าไปในฐานข้อมูลของ Search Engine รอให้คนค้นหา ถ้าเนื้อหาดีและตรงกับสิ่งที่คนต้องการรู้ Search Engine ก็จะดึงข้อมูลของเว็บไซต์เราขึ้นไปแสดงผลให้
- Ranking: เป็นขั้นตอนของการแสดงผลข้อมูล ใครทำได้ดีกว่าก็จะอยู่อันดับต้นๆ คนหาเจอก่อน
ซึ่งการทำ On Page SEO มีส่วนช่วยทำให้ Search Engine อย่าง Google ทำกระบวนการเหล่านี้ง่ายขึ้น เพราะ Google จะรู้ว่า Keyword ที่ใช้ในหน้าเว็บไซต์ตรงกับ Search Intent หรือเปล่า อีกทั้งยังช่วยให้ Google สามารถเข้าใจเว็บไซต์ของคุณและจัดอันดับได้ดีขึ้นด้วยจากระบบการวาง On Page SEO ที่ดีนั่นเอง
ส่วนประกอบของ On Page SEO [วิธีการทำ]
มาถึงหัวข้อสำคัญกันแล้วกับวิธีการปรับปรุง On Page SEO ซึ่งมีหลายจุดที่สามารถทำได้ มาดูกันดีกว่าว่าจะปรับปรุงได้ยังไงบ้าง
- URLs ของเว็บไซต์
วางโครงสร้างของ URL ให้เป็นมิตรต่อการใช้งานทั้งในฝั่งของ User และในฝั่งของ Search Engine ด้วย โดยวิธีการปรับก็อย่างเช่น
- ใช้ Keyword ที่เข้ากับเนื้อหาแบบเฉพาะเจาะจง ไม่เขียนแบบสแปม Keyword ลงไป
- ไม่ใช้อักขระพิเศษหรือคำที่ไม่จำเป็น
- ใช้ Https เพื่อความปลอดภัย
ถ้าไม่แน่ใจว่าทำแบบไหน ลองดูตัวอย่างการวางโครงสร้างของ URL ที่ดีได้จากรูปภาพด้านล่างนี้เลย 👇
- Meta Title และ Meta Description
ใครที่ยังไม่รู้ว่า Meta Title หรือ Title Tag และ Meta Description คืออะไร ลองเข้า Google แล้วเสิร์ชอะไรสักอย่าง เมื่อผลลัพธ์ขึ้นมาแล้ว จะเห็นชื่อหัวข้อของหน้าเว็บไซต์ที่เป็นตัวหนังสือสีน้ำเงิน นั่นคือ Meta Title ส่วนคำอธิบายด้านล่างคือ Meta Description ส่วนนี้เราก็จำเป็นต้องปรับปรุงให้ดีต่อ SEO ด้วยนะ โดยมีเทคนิคง่ายๆ คือ
- เขียนอย่าให้ยาวเกินไป โดย Meta Title อย่าเขียนยาวเกิน 60 ตัวอักษร ส่วน Meta Description อย่าเขียนยาวเกิน 160 ตัวอักษร เพราะจะโดน Google ตัดตกเนื้อหาไม่ให้แสดงผลในหน้า SERPs ได้
- ใส่ Keyword หลักที่ใช้ลงไปด้วย แต่อย่าใส่เยอะจนเป็นการสแปมคำ ควรเขียนให้เป็นธรรมชาติ
- เขียนให้ดึงดูด แต่ไม่เป็น Click Bait และมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในแต่ละหน้า
- ไม่ใส่ตัวอักษรพิเศษและตัวเลขคละกัน เช่น -, +, &
อ่านเพิ่มเติม: Title Tag คืออะไร? ช่วยในเรื่องการทำ SEO ได้อย่างไรบทความนี้มีคำแนะนำ
อ่านเพิ่มเติม: Meta Descriptions คืออะไร สำคัญยังไงกับการทำ SEO เขียนอย่างไรให้ Google ชอบ
- Heading Tag
เจ้าตัว Heading Tag เองก็นับเป็นหนึ่งในปัจจัยของการปรับปรุง On Page SEO ด้วยเหมือนกัน เพราะนี่เป็นสิ่งที่ Google จะใช้ดูว่าหัวข้อไหนเป็นหัวข้อหลัก อะไรเป็นหัวข้อรองในหน้าเว็บเพจนั้น โดยจะเรียงตั้งแต่ H1 ไปจนถึง H6 ซึ่งเทคนิคในการเขียน Heading Tag ที่ดีนั้น น้องฮิปโป รวบรวมมาให้ ดังนี้
- ใส่ Keyword ลงไปใน Heading Tag แต่พยายามใส่ให้เป็นธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใส่ Keyword หลักลงไปในทุกหัวข้อ เพราะอาจจะโดนมองว่าสแปมคีย์เวิร์ดได้ ซึ่งถ้าใครกลัวว่าจะโดนมองว่าเป็นสแปมก็อาจจะใช้เทคนิค LSI Keywords เข้ามาเสริมก็ได้เช่นกัน
- ในแต่ละบทความควรมี Heading 1 อันเดียว และควรจะมีในทุกหน้าเว็บเพจ
- วิธีการใช้ Heading Tag ควรใช้เรียงจาก H1 H2 H3 H4 H5 H6 ลงไปเป็นลำดับ ไม่ควรใช้กระโดดไปกระโดดมา เพื่อโครงสร้างของคอนเทนต์ที่ดี
- Internal Link
Internal Link คือ ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ Google Bot เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บไซต์ได้ง่าย และมองเห็นความเชื่อมโยงของเนื้อหาในหน้าต่างๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น
ดังนั้น อย่าลืมใส่ Intetnal Link ลงไปในบทความแต่ละหน้าด้วยนะ ซึ่งวิธีการใส่ก็มีหลายแบบมากๆ แต่ที่นิยมใช้กันบ่อยๆ และคิดว่าหลายคนน่าจะคุ้นหูคุ้นตากันก็คือ การใส่แบบ Link Text เช่น
- SEO คืออะไรทำไมนักทำการตลาดทั่วโลกถึงต้องสนใจ << อย่างลิงก์นี้ที่ใส่แทรกเข้าไปในบทความก็นับเป็น Anchor Text แบบหนึ่ง แต่ใช้วิธีการเขียนเพื่อทำให้รู้สึกอยากคลิกมากขึ้น
- Url friendly คือ URL ที่ออกแบบมาให้เข้าใจง่าย << การใส่ Anchor Text แบบนี้จะเป็นการใส่ทับใน Keyword ที่เกี่ยวข้องกับลิงก์ปลายทาง
- External Link
ทำ External Link หมายถึง การทำลิงก์ออกไปยังเว็บอื่นๆ ที่นอกเหนือจากเว็บไซต์ของของคุณ แนะนำให้ทำ External Link ออกไปยังเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงและเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราเป็นหลัก เช่น คุณทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารสัตว์ ก็ต้องทำลิงก์ออกไปหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจเดียวกัน เช่น เว็บไซต์ขายอาหารสัตว์เหมือนกัน เว็บไซต์โรงพยาบาลสัตว์ ฯลฯ
- รูปภาพ
รูปภาพเป็นอีกหนึ่งวิธีนำเสนอที่ช่วยทำให้คอนเทนต์บนเว็บไซต์ดูน่าสนใจได้ ลองคิดดูว่า ถ้า น้องฮิปโป อธิบายเรื่อง SEO แบบไม่ใส่รูปภาพเลยก็คงดูน่าเบื่อ และมีเนื้อหาที่แน่นเกินไป อ่านแล้วก็อาจจะไม่ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
แต่การใส่รูปภาพบนเว็บไซต์ก็มีข้อควรระวังอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องของขนาดรูป ถ้าอัปโหลดรูปภาพที่มีขนาดใหญ่เกินไปก็จะทำให้เว็บไซต์ช้าได้ ทางที่ดีควรจะปรับขนาดรูปภาพให้พอดีกับการแสดงผลของหน้าจอ และใช้วิธีการเปลี่ยนสกุลไฟล์ภาพจาก Jpeg หรือ Png เป็น Webp ที่มีไฟล์ขนาดเล็กกว่า
นอกจากขนาดรูปแล้ว ก็อย่าลืมทำ ALT Text ให้รูปภาพแต่ละรูปด้วย โดย ALT Tags จะเป็นคำอธิบายรูปภาพที่แทรกอยู่ใน HTML Code ถ้าทำดีๆ จะช่วยทำให้ติด Image Search ได้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของการทำ On-Page เลยก็ว่าได้
หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติม : Alt Text คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง เกี่ยวกับเรื่อง SEO
- Page Speed
ใครที่เว็บไซต์มีปัญหาโหลดช้า ต้องไม่ลืมที่จะปรับปรุง Page Speed ของเว็บไซต์ให้เร็วขึ้น เพื่อลดอัตราการเกิด Bounce Rate หรืออัตราการกดออกจากเว็บไซต์ที่ส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากการที่เว็บไซต์โหลดช้าจนทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกหงุดหงิดนั่นเอง (ลองเช็กเว็บไซต์ดูก็ได้นะว่า โหลดเร็วหรือเปล่า โดยเข้าไปเช็กที่ Google Pagespeed Insight)
ตัวอย่างการเช็ก Page Speed ของเว็บไซต์ Google ได้คะแนนสูงถึง 99 เลยทีเดียว
สรุป On Page SEO
จากบทความจะเห็นแล้วนะว่า On-page Optimization คือ เป็นการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ที่เรามองเห็นให้ถูกหลัก SEO เพื่อทำให้ถูกใจ Google และถูกจัดอันดับในตำแหน่งดีๆ ตามที่เราต้องการ ซึ่งมีหลายขั้นตอนมากๆ เลยที่ต้องทำ ก็อย่าลืมจดสิ่งที่ น้องฮิปโป แจกแจงเอาไว้ในบทความนี้ไปปรับปรุงให้ครบนะ หรือจะเลือกเช็กจาก Checklist ด้านล่างนี้ที่เว็บเราทำเอาไว้ให้ก็ได้
- ปรับปรุง URLs ของเว็บไซต์
- ปรับปรุง Meta Title และ Meta Description ของแต่ละหน้าเว็บเพจ
- จัดเรียง Heading Tag บนหน้าเว็บไซต์ตามลำดับความสำคัญของหัวข้อ
- ทำ Intetnal Link ในหน้าคอนเทนต์อย่างเป็นธรรมชาติ
- ทำ External Link ไปยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องและมีความน่าเชื่อถือสูง
- ใส่ ALT รูปภาพ และปรับขนาดรูปภาพให้เหมาะสม
- ปรับปรุง Page Speed ของเว็บไซต์ให้เร็วขึ้น